1. หลักการทำงาน
จังหวัดระยองมีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น (Tropical Climate) มีฝนตกชุกเฉลี่ย 1,000–1,500 มิลลิเมตรต่อปี และมีพื้นที่ดินที่มีความชื้นสูงตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของปลวกใต้ดิน (Subterranean Termite) โดยเฉพาะชนิด Coptotermes gestroi ซึ่งเป็นชนิดที่สร้างความเสียหายต่ออาคารและโครงสร้างไม้มากที่สุดในภาคตะวันออกของประเทศไทย
การอัดน้ำยากำจัดปลวก (Soil Injection Termiticide Treatment) เป็นวิธีการควบคุมและป้องกันปลวกในระดับวิศวกรรมโครงสร้าง ซึ่งมีพื้นฐานทางวิชาการมาจากหลักการ “สร้างแนวสารเคมี (Chemical Barrier)” เพื่อป้องกันไม่ให้ปลวกใต้ดินเข้ามาในอาคารจากชั้นดิน
2. วัตถุประสงค์ของการอัดน้ำยาปลวก
เพื่อสร้างแนวป้องกันสารเคมี (Chemical Barrier) รอบโครงสร้างอาคาร
เพื่อป้องกันการเข้าทำลายของปลวกใต้ดินจากชั้นดินเข้าสู่อาคาร
เพื่อควบคุมประชากรปลวกที่อาศัยอยู่ในดินบริเวณรอบโครงสร้าง
เพื่อยืดอายุการป้องกันปลวกในระยะยาว (3–5 ปี) โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น จังหวัดระยอง
3. หลักการทางวิชาการของระบบอัดน้ำยา
3.1 หลักการสร้างแนวสารเคมีในดิน
การอัดน้ำยาปลวกคือการฉีดพ่นสารเคมีในกลุ่ม Termiticide ลงสู่ดินในระดับความลึกที่ปลวกอาศัยอยู่ (โดยทั่วไปประมาณ 30–50 เซนติเมตร) เพื่อให้สารเคมีแทรกซึมกระจายรอบฐานรากของอาคาร กลายเป็นแนวป้องกัน (Barrier) ที่ปลวกไม่สามารถผ่านได้
สารเคมีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสารออกฤทธิ์ในกลุ่ม
Fipronil 2.5–5% W/V (non-repellent type)
Imidacloprid 10% W/V
Chlorpyrifos 40% EC (repellent type)
โดยเลือกใช้ตามลักษณะพื้นที่และระดับการระบาดของปลวกในพื้นที่จังหวัดระยอง
3.2 กระบวนการอัดน้ำยา (Injection Process)
การสำรวจพื้นที่ (Site Assessment)
นักวิชาการตรวจสอบโครงสร้าง พื้นที่โดยรอบ และระบบฐานรากของอาคาร เพื่อกำหนดแนวอัดสารเคมีอย่างเหมาะสมการกำหนดจุดอัดสาร (Injection Point Design)
ระยะห่างระหว่างจุดอัดมาตรฐานอยู่ที่ 30–50 เซนติเมตร
ใช้สว่านขนาด 1/2–5/8 นิ้ว เจาะทะลุพื้นคอนกรีต
ความลึกของรูเจาะ 30–40 เซนติเมตร เพื่อให้สารเคมีกระจายถึงชั้นดินที่ปลวกอาศัยอยู่
การอัดสารเคมี (Termiticide Injection)
ใช้เครื่องอัดแรงดันสูง (Pressure Injector) ที่มีหัวฉีดแบบปลายแหลม (Injector Rod)
ปริมาณการอัดสารอยู่ที่ 5–10 ลิตรต่อตารางเมตร ขึ้นอยู่กับประเภทของดิน
การอุดปิดรูเจาะ (Sealing Process)
หลังการอัดสารแล้วต้องอุดปิดรูเจาะด้วยปูนซีเมนต์เพื่อความเรียบร้อยและป้องกันการระเหยของสารเคมี
4. ปัจจัยทางวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมในจังหวัดระยอง
จังหวัดระยองมีพื้นที่ดินที่มีองค์ประกอบของทรายสูง (Sandy Loam) ทำให้การซึมผ่านของน้ำยาเร็ว จำเป็นต้องควบคุมแรงดันและปริมาณการอัดสารให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วซึมหรือไหลออกนอกแนวที่ต้องการ
นอกจากนี้ ความชื้นในอากาศและปริมาณฝนมีผลต่ออายุการคงอยู่ของสารเคมีในดิน ดังนั้นจึงควร ตรวจสอบและเติมสารเคมีซ้ำทุก 3–5 ปี เพื่อคงประสิทธิภาพของแนวป้องกัน
5. มาตรฐานสารเคมีที่ใช้
สารเคมีทุกชนิดที่บริษัทใช้ต้องขึ้นทะเบียนกับ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และต้องผ่านการรับรองตามมาตรฐาน FAO/WHO Specifications
6. การควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย
เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องผ่านการอบรมด้านความปลอดภัยในการใช้สารเคมี (Pesticide Safety Training)
ต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ได้แก่ หน้ากากกันสารเคมี ถุงมือยาง รองเท้าบูท และชุดป้องกัน
พื้นที่ปฏิบัติงานต้องมีการกั้นเขตและติดป้ายเตือน เพื่อป้องกันการสัมผัสสารเคมีโดยไม่ได้ตั้งใจ
มีการบันทึกข้อมูลปริมาณสารเคมีและจุดอัดสารในแบบฟอร์ม Termiticide Injection Record ทุกครั้ง
7. การติดตามผลและประเมินประสิทธิภาพ
หลังการอัดน้ำยา บริษัทจะทำการตรวจสอบซ้ำทุก 6 เดือน เพื่อประเมินผลความต่อเนื่องของแนวสารเคมี โดยใช้วิธี
ตรวจสอบทางเดินดินของปลวก (Mud Tube Observation)
ใช้เหยื่อตรวจสอบ (Monitoring Bait) ในจุดเสี่ยง
หากพบสัญญาณการเข้าทำลาย จะทำการอัดซ้ำทันทีภายใต้เงื่อนไขของสัญญารับประกัน
8. สรุปเชิงวิชาการ
การอัดน้ำยาปลวกในจังหวัดระยองเป็นกระบวนการทางวิศวกรรมที่อาศัยหลักการทางกีฏวิทยา (Entomology) และเคมีสิ่งแวดล้อม (Environmental Chemistry) เพื่อสร้างแนวป้องกันสารเคมีในดิน ลดความเสี่ยงจากการเข้าทำลายของปลวกใต้ดิน โดยต้องอาศัยการออกแบบ การควบคุมปริมาณสาร และการติดตามผลอย่างเป็นระบบ
แนวทางนี้ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันปลวกในอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชื้นสูง เช่น จังหวัดระยอง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการระบาดของปลวกตลอดปี






























